ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

รสจืด

๑ ก.พ. ๒๕๖๓

รสจืด

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : เรื่อง “การเดินจงกรม นั่งสมาธิ สลับกัน”

กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพ โยมมีความตั้งใจจะอดนอนผ่อนอาหาร ซึ่งได้อ่านหนังสือประวัติหลวงปู่จันทา ท่านแนะนำหลักในการอดนอนผ่อนอาหารและภาวนาว่า

ในเดือนแรกควรจะเดินจงกรม ๑ ชั่วโมงและนั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมงสลับกัน ในเดือนที่สองเดินจงกรม ๒ ชั่วโมงและนั่งสมาธิ ๒ ชั่วโมงสลับกัน เดือนที่สามควรเดินจงกรม ๓ ชั่วโมง นั่งสมาธิ ๓ ชั่วโมงสลับกัน

คำถามที่เรียนถามท่านอาจารย์

๑. โยมไม่มีความถนัดในการนั่งสมาธิเลย แม้ว่าช่วงหลังๆ จะพยายามฝึกและฝืนนั่งสมาธิมากขึ้น เพราะบางครั้งการเดินจงกรมจำนวนชั่วโมงมากๆ ร่างกายอ่อนล้า ต้องการการพักบ้าง แต่บางครั้งบังคับให้ตัวเองนั่งสมาธิแล้วรู้สึกว่าการนั่งสมาธิมันจืดชืด สู้การเดินจงกรมไม่ได้ ขณะนี้หากเดินจงกรม ๑ ชั่วโมง โยมสามารถนั่งสมาธิได้สูงสุด ๓๐-๔๐ นาที

๒. ถ้าโยมไม่อดนอนผ่อนอาหาร และภาวนาตามแนวทางครูบาอาจารย์พาทำ แต่จะทำตามแนวที่ตัวเองทำได้ เช่น โยมจะเดินจงกรม ๑ ชั่วโมง นั่ง ๓๐-๔๐ นาทีสลับกัน เดือนที่สองเดินจงกรม ๒ ชั่วโมง นั่งสมาธิ ๕๐-๖๐ นาที แต่โยมจะพยายามรักษาสติให้ตั้งมั่นและต่อเนื่องตลอด อยากทราบว่า แนวทางนี้จะได้ผลหรือเปล่าคะ

สุดท้ายขอบพระคุณท่านอาจารย์เจ้าค่ะ

ตอบ : นี่การเดินจงกรมๆ การเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา การเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นี่ครบ ๑๕๐ ปีชาติกาลของหลวงปู่มั่น ในประวัติหลวงปู่มั่น การเดินจงกรม นั่งสมาธิ ท่านเองท่านก็พยายามภาวนามา เวลาภาวนามาแล้ว เพราะว่ากึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่งมันต้องมีพื้นฐาน พื้นฐานของคนๆ ไง

เด็ก เด็กเวลาเรามีลูก เราเรียนอนุบาลปูพื้นให้มันแน่นหนาขึ้นมา เวลาเรียนไปข้างหน้ามันจะเข้มแข็งแข็งแรงต่อไป การจะปฏิบัติภาวนา การจะบวชเป็นพระ สงสัยแม้แต่กระทั่งวินัยกรรม การกระทำในวินัยจะมีความแตกต่างอย่างไร จะมีความหลากหลายอย่างไร

การเดินจงกรมและการนั่งสมาธิ ในประวัติหลวงปู่มั่นท่านบอกเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเดินให้ดู พระอรหันต์ในสมัยอดีตกาลมาเดินจงกรมให้ดู เดินให้ดูๆ เพราะอะไร เพราะท่านวิตกสงสัยอย่างไรปั๊บ คืนนั้นเวลาท่านนั่งภาวนาไปแล้วจะมีพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ มาเดินจงกรมให้ดู

คึกฤทธิ์มันเลยเขียนถามเลย บอกว่า “นิพพานมันสูญสิ้นไปแล้วมันจะมาได้อย่างไร ประวัติหลวงปู่มั่น เวลาเขียนมาแล้วมันจะทำให้คนฉลาดขึ้นหรือคนโง่มากขึ้น” นั่นเวลาเขาโต้แย้งมา

หลวงตาท่านสวนกลับ ถ้าบอกว่ามันไม่มี ในวัฏวน วัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพมันไม่มี ถ้ามันไม่มีนะ จะปฏิเสธเรื่องของวัฏฏะว่ามันไม่มี ให้ปฏิเสธองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่

ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีตัวตนอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมจนมีพระสงฆ์เป็นพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก มีรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่ยึดเหนี่ยว เป็นที่พึ่งพาอาศัยของชาวพุทธ ถ้ามันมีอยู่จริง มันมีอยู่จริง

ในประวัติของในพระไตรปิฎก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ มันชัดเจนของมันอยู่แล้ว ถ้ามันชัดเจนของมันอยู่แล้ว สิ่งที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำของท่าน

เพราะสมัยกึ่งพุทธกาลศาสนามันจะเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญบนโลกที่เทคโนโลยีมันเจริญ เจริญที่ปัญญาของคนมันเจริญ มันมีการโต้แย้ง มีความลังเลสงสัยด้วยกันทั้งสิ้น แล้วจะทำอย่างไรให้มันเป็นสัจจะความจริง

แต่ในประวัติหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านวิตกท่านสงสัยเองว่า เดินจงกรมอย่างไร นั่งสมาธิอย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มาทำให้ดูเป็นตัวอย่างเลย แล้วท่านทำเป็นตัวอย่างในหัวใจของท่าน ท่านเองท่านก็รู้ท่านก็เข้าใจ แต่ต้องการความยืนยันไง ยืนยันมาเพื่ออะไร

ยืนยันมาเพื่อเวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านต้องการสร้างธรรมทายาท ท่านมาฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้คนเรามั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในสัจจะในความจริงในหัวใจ ในสัจจะในความจริงในหัวใจ ไม่ใช่ในตำรา

ในตำราๆ พุทธพจน์ๆ พุทธพจน์เป็นความจริง เป็นความจริงอย่างนั้น ปริยัติ ปริยัติมีการศึกษา สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา จินตนาการ เวลาภาวนามยปัญญาเป็นความจริงขึ้นมา เป็นความจริงขึ้นมาในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นอยู่แล้ว แต่ด้วยอำนาจวาสนาไง พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบแต่สอนไม่ได้ นี่สาวกสาวกะ สาวกที่มีบารมีพยายามจะสร้าง แต่ก็ต้องการเครื่องยืนยัน พอยืนยันมาแล้วท่านก็ปลูกฝัง ปลูกฝังในพระวงกรรมฐานก่อน ปลูกฝังพระในวงกรรมฐานให้เป็นแบบอย่าง

สมัยของหลวงปู่มั่น ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเป็นครูบาอาจารย์เดียวกัน รักกัน ชอบกัน พอกัน แล้วยอมรับสัจจะความจริงเหมือนกันทั้งสิ้น แต่พอเป็นลูกศิษย์ของลูกศิษย์อีกชั้นหนึ่ง เอ็งลูกศิษย์ใคร เอ็งลูกศิษย์ใคร อาจารย์เอ็งถืออย่างไร นี่มันถือแตกต่างหลากหลายไปแล้ว เพราะว่าอำนาจวาสนาบารมีมันไม่เหมือนกัน

แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านยืนยันของท่าน ท่านมีวิตกกังวล หลวงตาท่านเล่าให้ฟังเหมือนกัน สีย้อมผ้าทำอย่างไร สุผ้า ย้อมผ้า เรื่องรังดุม เรื่องไม้เกีย เรื่องผ้านิสีทนะ มันมาฟื้นฟูเอาสมัยหลวงปู่มั่นทั้งนั้นน่ะ

กปฺปิยํ กโรหิ มันมีมาจากไหน ในวินัยมันมีหมด ในตำรามีหมด แต่ไม่มีใครทำ นี่ท่านมาฟื้นฟูๆ ของท่าน คำว่า ฟื้นฟูของท่าน” แล้วมันปลูกฝังปูพื้นมาจากลูกศิษย์ลูกหาจากภายใน จากภายในให้มันรู้จริงเห็นจริง ให้มันเชื่อมั่นตามความเป็นจริง แล้วทำมาเป็นหมู่เป็นคณะเป็นครอบครัว เป็นวงกรรมฐาน เป็นออกมาจนเดี๋ยวนี้เขาไปแอ็กชันกันน่ะ ถือเคร่ง ถือเคร่ง เกร็ง

แต่ของครูบาอาจารย์ท่านทำของท่าน ท่านฝึกหัดของท่าน นี่ลูกศิษย์กรรมฐาน อุบาสก อุบาสิกาที่อุปัฏฐากพระก็ฝึกหัดกันมาเป็นวินัยกรรมแล้วเป็นการกระทำ นี่พูดถึงว่า การนั่งสมาธิ การเดินจงกรม ในอิริยาบถ ๔ ยืน เดิน นั่ง นอน ทำสิ่งใดก็ได้ อยู่ที่ความถนัดไง

ทีนี้ย้อนมาที่คำถาม คำถามว่า การเดินจงกรม นั่งสมาธิสลับกัน แล้วบอกว่าไปอ่านหนังสือประวัติของหลวงปู่จันทา

หลวงปู่จันทาก็เป็นความถนัดของท่าน นี่ไง เป็นความถนัดของท่านไง หลวงปู่ชอบ ท่านอาจารย์สิงห์ทอง ท่านก็ถนัดในการเดินจงกรม เวลานั่งสมาธิๆ หลวงปู่ฝั้นท่านถนัดในท่านั่ง ถนัดต่างๆ ครูบาอาจารย์ถนัดไม่เหมือนกัน

สมัยหลวงปู่มั่นนะ เวลาท่านนิมิตเห็นที่ถ้ำเชียงดาวว่ามันมีความลึกลับ บนหลังถ้ำเชียงดาวมีพระอรหันต์ มีพระปัจเจกพุทธเจ้ามานิพพานอยู่ ๗ องค์ นี่ท่านรู้ของท่าน ท่านเห็นของท่าน ท่านย้อนของท่านได้

แล้วเวลาท่านจะใช้ใคร ท่านใช้หลวงปู่ตื้อ ให้หลวงปู่ตื้อให้ตามไปว่ามันจะเป็นอย่างไร ท่านเห็นโดยนิมิตของท่าน แต่เวลาท่านให้พิสูจน์ๆ หลวงปู่ตื้อดำเข้าไปพิสูจน์ เหมือนกับว่าการสำรวจของนักสำรวจธรณีวิทยาเลยแหละ นี่เวลาครูบาอาจารย์เราทำไง

เวลานักสำรวจธรณีวิทยาเขารู้เลยว่ากี่พันปี กี่แสนปี กี่ล้านปีไง สิ่งที่สะสมมาเป็นแร่ธาตุ ความซับซ้อนของแผ่นดิน นี่ธรณีวิทยาเขาพิสูจน์

นี่ก็เหมือนกัน หลวงปู่มั่นท่านให้หลวงปู่ตื้อพิสูจน์ ดำเข้าไปเลย ๗ วัน ๗ คืนไม่มีที่สิ้นสุด เวลาขึ้นไปบนหลังถ้ำ ขนาดว่ายืนไม่ได้นะ

ประวัติหลวงปู่มั่น หลวงปู่ตื้อบอกไปถึงบนหลังเขา สมัยนั้นมันป่าดงดิบอยู่ สภาวะอากาศไม่เป็นแบบนี้ มันลมพัดแรงมาก ท่านบอก ยืนอยู่ไม่ได้ มันพัดตกเลย ขึ้นไปข้างบนแล้วนะ เอาหลังพิงต้นไม้ แล้วเอาผ้าอาบผูกตัวเองไว้กับต้นไม้ นี่การพิสูจน์

เราจะบอกว่าหลวงปู่มั่นท่านรู้ถึงจริตนิสัย รู้ถึงความกล้าหาญ รู้ถึงความมั่นคงของจิตที่ไม่ลังเล ไม่ตื่นตกใจ ไม่กลัวสิ่งใดๆ พิสูจน์กันด้วยสัจจะด้วยความจริง ดีทั้งนอกดีทั้งในไง นี่การพิสูจน์ วางพื้นฐานไว้กับลูกศิษย์ลูกหาของท่าน

แล้วทางโลกทางวิทยาศาสตร์เขาจะว่าอย่างไรมันเรื่องของเขา มันต้องเป็นการพิสูจน์กันไง โลกกับธรรมๆ แล้ววางแนวทางในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นที่มีความเคารพเชื่อถือและลงในธรรมและวินัยในข้อวัตรปฏิบัติของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น มันจะไม่ย้อนศร

หลวงปู่มั่นท่านพูดไง ไม่แซงหน้าไม่แซงหลัง ไม่อวดดี ไม่อวดความยิ่งใหญ่ อ่อนน้อมถ่อมตน แต่ข้างในของจริง จริงอันนี้จริงไว้ภายในไง นี่ธรรมกับโลก โลกมันพิสูจน์กันไม่ได้

สิ่งที่โลก เวลาหลวงตาท่านพูดประจำ “ถ้าพูดไปเขาก็หาว่าเราบ้า พูดไปเขาก็หาว่าเราบ้า”

เขาหาว่า คำว่า หาว่า” ไง แต่เวลาคนที่อยู่ในคุกมันทำผิดจริงๆ ทั้งนั้นน่ะ มันบอกว่าเขาหาว่า เวลามันทำมันจี้มันปล้นมันทำลาย มันบอกว่าเขาหาว่า

เวลาครูบาอาจารย์เรามีธรรมในหัวใจ ท่านเก็บไว้ในหัวใจ ท่านไม่พูดออกไป เพราะเกรงว่าเขาหาว่า เขาจะหาว่าเราบ้า ท่านไม่พูด แต่เวลาท่านอบรมบ่มเพาะลูกศิษย์ลูกหา ลูกศิษย์ลูกหาเวลาแก้จิตๆ ถ้ามันไม่มีสัจจะความจริงมันจะแก้อย่างไร ถ้ามันไม่รู้ความจริงในหัวใจว่านี่สภาวธรรม

เวลาหลวงตาท่านเทศน์ วิถีแห่งจิต ขั้นตอนของมัน มันมีวิถี มีข้อมูลของมัน มันถึงเป็นบุคคล ๔ คู่ไง มรรค ๔ ผล ๔ ไง แล้วถ้ามันไม่ ๔ คู่ ไม่มรรค ๔ ผล ๔ เขาจะสื่อสารกันอย่างไร เวลาครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นธรรมๆ ท่านสื่อสารกันอย่างไร เขาแก้ไขกันอย่างไร ถ้าไม่แก้ไข

หลวงตาท่านพูดเลย “เราติดสมาธิ ๕ ปี ๕ ปี หลวงปู่มั่นท่านลากออกมา ลากออกมา ไม่ลากออกมา อุ๊ยตาย! ติดอยู่ตรงนั้นแหละ เพราะเข้าใจว่าตรงนั้นเป็นนิพพาน เข้าใจว่าจบแล้วไง” นี่ของจริงนะ นี่ติดจริงๆ นะ แล้วของจริงด้วย แล้วไอ้ที่ของปลอมๆ ไม่มีแม้แต่แก่นสาร

หลวงตาท่านพูดด้วยความเศร้าใจนะ เวลาท่านพูดกันในวงพระ แม้แต่สมาธิมันยังทำกันไม่เป็นเลย แล้วมันจะไปทำอะไรกัน แม้แต่สมาธิ สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน มันยังทำกันไม่เป็น

พอไม่เป็นแล้ว คนที่ไม่เป็นตาบอดคลำช้าง นี่ไง ถือมงคลตื่นข่าว มันพูดได้แจ้วๆๆ มันพูดได้ร้อยแปด แต่สมาธิไม่มี ไม่มีอะไรเป็นพื้นฐาน ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร แล้วมันก็ว่าของมันไป

นี่เราพูดถึงว่า การเดินจงกรม นั่งสมาธิที่คำถามถามมาไง

เราจะบอกว่า ที่มาที่ไป ความสงสัยของโลกเป็นแบบนี้ แล้วหลวงปู่มั่นท่านแก้ไว้เรียบร้อยหมดแล้ว แต่คนที่จิตใจเป็นสัมมาทิฏฐิเห็นชอบตามธรรมและตามวินัยจะมีความอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพครูบาอาจารย์ แล้วจะประพฤติปฏิบัติให้เป็นความจริง เป็นปัจจัตตัง คือรู้จำเพาะเลย สันทิฏฐิโก รู้แจ้งเลย แล้วมันยิ่งเคารพบูชามากขึ้นๆ ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงนะ

แต่ไอ้ที่แซงหน้าแซงหลัง สมาธิก็ไม่จำเป็น สมาธิก็ร้อยแปด ไร้สาระ ไร้สาระ

คำว่า ไร้สาระ” เพราะอะไร เพราะเป็นสัจธรรมปฏิรูป คำว่า ปฏิรูป” คือทำเอง คิดเอง เออเอง ไม่มีความจริงเลย ถ้าเป็นความจริงนะ เป็นอริยสัจเป็นสัจจะเป็นความจริงในสัจจะความจริงอันนั้น นี่พูดถึงว่าโดยพื้นฐานว่า การเดินจงกรม นั่งสมาธิมันแตกต่างกันอย่างไร จะเป็นอย่างไร

แล้วคำถามนี้ถามโดยเขียนมาว่าเป็นประวัติหลวงปู่จันทา

สาธุ ก็เป็นความถนัดของท่าน เพราะอะไร ความถนัดของหลวงปู่จันทายังน้อยกว่าหลวงปู่ขาว หลวงปู่ขาวทำทางจงกรม ๓ เส้นน่ะ ท่านเป็นพระอรหันต์นะ ท่านสิ้นกิเลสแล้วนะ ท่านเดินจงกรมถวายพระพุทธ ถวายพระธรรม ถวายพระสงฆ์ทุกวันเลย นั่นน่ะเดินทั้งวันเลยตั้งแต่เช้า บ่าย ค่ำ หลวงปู่ขาว นั่นก็เดิน

แต่นี่หลวงปู่จันทา นี่ก็เป็นความถนัดของท่าน แล้วเป็นคำสอนของท่าน ถ้าคำสอนของท่าน เขาบอกว่า ได้อ่านประวัติหลวงปู่จันทา บอกเดินจงกรม ๑ ชั่วโมง นั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมง เดินจงกรม ๒ ชั่วโมง ก็นั่งสมาธิ ๒ ชั่วโมง เดินจงกรม ๓ ชั่วโมง ก็นั่งสมาธิ ๓ ชั่วโมง

อันนี้ก็เป็นความถนัด เป็นเบสิกที่ท่านปูพื้นฐานไว้ให้กับคนที่ทำได้ ถ้าคนทำได้เอานี่เป็นกติกา มันก็ยังฝึกหัดของมันไปไง แต่ถ้ามันทำอย่างใดไม่ตรงจริตไม่ตรงนิสัย คือมันไม่ตรงกับกิเลสน่ะ

เราปวดท้อง ไปหาหมอบอกว่ากินยาแก้ประสาทอย่างนี้ เราสมองไม่ดี เขาบอกว่าต้องใช้น้ำมันพืชทาเท้าอย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก นี่ก็เหมือนกัน เราปวดท้องก็กินยาแก้ท้อง เรามีอาการทางสมอง เขาก็ให้ยาทางสมอง

นี่ก็เหมือนกัน มันอยู่ที่จริตนิสัย มีการกระทำไง เราจะบอกว่า ทำอย่างไรก็ได้ที่ถนัด แล้วให้ได้ผลประโยชน์ตามความเป็นจริงอันนั้น

แต่ถ้าว่า เดินจงกรม ๑ ชั่วโมงก็นั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมง เดิน ๒ ชั่วโมงก็ต้อง ๒ ชั่วโมง เดิน ๓ ชั่วโมงก็ต้อง ๓ ชั่วโมง อันนี้มันเป็นกติกาที่เราตั้งขึ้น แล้วทำได้ถนัดหรือไม่ถนัด เวลาคนถามก็บอกอยู่แล้วว่าเราไม่ถนัดในการนั่งสมาธิ

ไม่ถนัดนั่งสมาธิ เราก็เดินจงกรมให้มากขึ้นก็ได้ แล้วมานั่งสมาธิให้ผ่อนคลายอิริยาบถ แล้วมาเดินจงกรมต่อก็ได้ ถ้าเราทำแล้วมันเป็นสมาธิได้ มันทำแล้วมีความสงบระงับ ถ้ามันทำแล้วมันเป็นประโยชน์ไง

ไม่ใช่ทำแล้วรสชาติไม่มี จืดชืดๆ รสจืดๆ ไง รสจืดๆ

มันต้องมีเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม มันต้องมีต้มยำกุ้ง มันต้องมีน้ำพริก สุดท้ายแล้วก็ตบท้ายด้วยน้ำซุป การทานอาหารมันก็เป็นแบบนั้น

นี่ก็เหมือนกัน การนั่งสมาธินะ เราเอาความสงบของใจ ตอนนี้มันมีคำถามมาเยอะ แล้วมีปัญหามาเยอะมาก เราจะเน้นเลยตอนนี้ เราเน้นเลยนะ

ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรานั่งสมาธิ เดินจงกรม ภาวนา สิ่งต่างๆ เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราอย่าไปคาด อย่าไปหมาย อย่าไปหวังผล อันนั้นกิเลสซ้อนกิเลส

โดยปกติธรรมชาติเราก็มีกิเลสอยู่แล้ว ทุกคนเกิดมาอยากเป็นคนดี แต่คนดีด้วยจริตนิสัย ใครมีความคาดหมายอย่างไรก็อยากจะเป็นความดีอย่างนั้น ความดีมากความดีน้อยก็แล้วแต่ที่เราจะคาดหมายได้

แล้วพอเราคาดหมาย เห็นไหม โดยสัญชาตญาณของมนุษย์ทุกคนมันมีตัณหาความทะยานอยากในใจของมันอยู่แล้ว นี่คือกิเลสโดยธรรมชาติ แล้วพออ่านหนังสือแล้วจะปฏิบัติจะให้ได้ๆ กิเลสซ้อนกิเลสไง

แต่ว่าเป็นความอยาก เป็นสัญชาตญาณที่คนเรามันมีความอยาก มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่แล้ว แล้วบอกว่า “เวลาในอภิธรรมบอกว่าปฏิบัติโดยกิเลสมันจะเป็นธรรมไปไม่ได้ เป็นธรรมไปไม่ได้เพราะมีความอยาก ต้องไม่มีความอยากอะไรเลย กำหนดรู้ตัวทั่วพร้อมทุกอย่าง ไม่มีอะไรทั้งสิ้น แล้วมันจะเป็นความจริง”

อันนั้นมันก็เริ่มต้นได้ยาก เพราะว่าสมาธิยังทำไม่เป็น พื้นฐานยังไม่มี แล้วทำอะไรได้

ทีนี้พอทำสิ่งใดไม่ได้ เวลาหลวงตาท่านสอนไง ท่านบอกว่า เรามาตีความกันว่า ความอยากทั้งหมดเป็นกิเลสๆ มันก็เลยเริ่มต้นกันไม่ได้ไง

โดยสัญชาตญาณของเรา เราก็มีความอยากอยู่แล้ว แต่เราอยากเป็นคนดี อยากพ้นจากทุกข์ อยากจะสร้างคุณงามความดีของเรา ความอยากนี้เป็นมรรค เพราะการทำความดีมันไม่เสียหาย ความอยากดีมันเป็นคันเร่งที่เราเหยียบกันได้

เราจะบอกว่าความอยากทั้งหมดมันเป็นกิเลสไปทั้งหมด แล้วอย่างนั้นห้ามทำอะไรเลย เพราะถ้าทำแล้วมันจะเป็นกิเลสหมดเลย แล้วเริ่มต้นไม่ได้

แต่ครูบาอาจารย์ของเรา และเราด้วย และนักปฏิบัติทั้งหมดก็มีความอยากทั้งนั้น การเดินจงกรม การตั้งสัจจะ การทำด้วยความอุกฤษฏ์ มันเป็นความอยากทั้งนั้นน่ะ แต่อยากชนะตัว อยากพ้นทุกข์ แล้วทำของเราไป

ถ้าอย่างนี้ ความอยากโดยพื้นฐานมันเป็นกิเลสโดยธรรมชาติ แล้วพอเราปฏิบัติแล้วเราก็คาดหมายว่าจะเป็นไอ้นู่น จะเป็นไอ้นี่ จะเป็นไอ้นั่น นั่นน่ะความอยากซ้ำซ้อน ความอยากซ้ำซ้อน ความอยากอย่างนี้มันกดดันเรามาก

เราเลยบอกว่า ความอยากซ้ำซ้อนนี้เราจะตัดออกด้วยการบูชาพระพุทธเจ้า บูชาพระพุทธเจ้าให้มันเกิดตามข้อเท็จจริง ใครนั่งสมาธิได้อย่างไรก็ให้เป็นอย่างนั้น ใครเดินจงกรมจะได้จริงก็ได้อย่างนั้น ได้อย่างนั้นก็เหมือนคนเราเป็นไข้หวัด คนเราเป็นโรคพิษภัยต่างๆ แต่ละโรคก็รักษาไปตามอาการนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เวลามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา มันไม่มีความอยากซ้ำซ้อน คืออยากที่เป็นเป้าหมาย อธิษฐานบารมี ณ เป้าหมายนี้

แต่พวกเราเอามาเป็นโทษกันเองไง “ปฏิบัติแล้วไม่ได้อะไรเลย ปฏิบัติแล้วมันทุกข์มันยาก” นี่กิเลสซ้ำซ้อน

แต่ถ้าบอกว่าบูชาพระพุทธเจ้า เราสมบูรณ์แบบแล้ว นั่งสมาธิก็เปรียบเหมือนเอาร่างกายนี้นั่งบนอาสนะ เหมือนใส่พานถวายพระพุทธเจ้า เรานั่งปฏิบัติถวายพระพุทธเจ้า นั่งสมาธิก็ถวายพระพุทธเจ้า เดินจงกรมก็ถวายพระพุทธเจ้า แต่เราก็ตั้งสติ เราพุทโธของเราโดยความเข้มแข็งของเรา แต่ไอ้ความอยากซ้ำซ้อนเราใช้อุบายว่าถวายพระพุทธเจ้า อย่าไปคาด อย่าไปหมาย อย่าไปต้องการอะไรทั้งสิ้น ให้มันเป็นตามข้อเท็จจริง

แล้วถ้ามันเป็นตามข้อเท็จจริง เหมือนวันเฉลิมพระชนมพรรษาทำบุญอุทิศเพื่อในหลวง ทำบุญอุทิศเพื่อในหลวง ทำคุณงามความดี แล้วใครได้ล่ะ ก็คนทำมันได้ นี่ก็เหมือนกัน เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาถวายพระพุทธเจ้าๆ ถ้ามันเป็นจริงมันเป็นของเราทั้งสิ้น

ฉะนั้น ไอ้ที่ว่าเดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง อันนี้เป็นคำสอนในประวัติของหลวงปู่จันทา ก็เป็นความถนัดส่วนบุคคลของท่าน เพราะท่านถนัด เพราะท่านได้ผลอย่างนี้ ท่านจึงต้องการให้ชาวพุทธปฏิบัติอย่างนี้ให้ได้แบบท่าน

แต่ถ้าไปหาอาจารย์สิงห์ทอง อาจารย์สิงห์ทองให้เดินจงกรมทั้งวันเลย ไปหาครูบาอาจารย์บางองค์นั่งสมาธิทั้งวันทั้งคืนเลย นี่มันอยู่ที่ความถนัด ถ้าความถนัดสิ่งใดแล้วเป็นประโยชน์ได้อย่างนั้น

นี่พูดถึงว่า ในการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา

“๑. โยมไม่มีความถนัดในการนั่งสมาธิ แม้ช่วงหลังๆ นี้พยายามฝึกหัดนั่งสมาธิมากขึ้น บางครั้งการเดินจงกรมเป็นจำนวนมากก็เกิดอ่อนล้า ก็ต้องการพักบ้าง”

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันไม่ได้ก็พยายามฝึกหัดของเรา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาอยู่ที่เราสลับของเราเอง อยู่ที่ความถนัดของเราเอง แล้วความถนัดนะ อย่าให้กิเลสมันหลอกนะ เราถนัดนอน ท่านอนนี่ดี๊ดี แล้วก็หลับคร่อกๆ อู้ฮู! ตื่นขึ้นมาสมาธิสุดยอดเลย แล้วก็นอนอยู่นั่นน่ะ เลยจะกลายเป็นไส้เดือนอยู่นั่นน่ะ

ถ้าเป็นจริงเราต้องตรวจสอบของเราเองไง

“บางครั้งบังคับให้ตัวเองนั่งสมาธิก็รู้สึกว่าการนั่งสมาธิมันจืดชืด”

คำว่า จืดชืดๆ” จืดชืดนะ ดีกว่าความฟุ้งซ่าน ดีกว่าความให้มันหลอกลวงไปนะ นี่ไง รสจืด เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนน้ำสะอาดบริสุทธิ์ รสจืด ไม่มีโรคไม่มีภัย เป็นประโยชน์กับร่างกายทั้งสิ้น

สิ่งที่รสจัดคือรสของกิเลส รสของความเจ็บช้ำน้ำใจ รสของความปรารถนา

รสจืด เราเอารสจืดๆ นี่แหละ

แต่ถ้าจิตมัน เพราะอะไร เพราะอาหารอย่างละเอียด อารมณ์คุณงามความดี “นิพพานมันเป็นอย่างไรนะ วิมุตติสุข สุขโดยที่ไม่เจืออะไรเลยมันเป็นอย่างไร” รสที่ไม่เคยกินไง มันก็ไม่รู้จักรสเลย แต่ถ้าน้ำพริกอย่างนี้ โอ้โฮ! น้ำพริกแมงดาอย่างนี้ รสสุดยอด ต้มยำกุ้งนี่ โอ้โฮ! อร๊อยอร่อย แต่พอน้ำสะอาด รสจืดชืด

รสจืดแต่เป็นประโยชน์ แล้วถ้าคุ้นเคย เห็นประโยชน์ของมันแล้ว เรากินอาหารคลีนไม่มีรสชาติเลย รสจืด นี่ฝึกหัด คำว่า รสจืด” เพราะเราคาดหมายว่ามันจะมีรสชาติอย่างนั้น

มีผู้ถามหลายคนนะ เขาปฏิบัติเขาอยากจะเป็นแบบหนังจีน เขาคิดว่าปฏิบัติไปแล้วมันจะตัวเบา แล้วปล่อยกำลังภายในได้อย่างนี้ มีคนคิดอย่างนี้เยอะมาก อันนั้นก็เป็นการฝึกหัดของเขา เขาฝึกหัดเพื่อเป็นวิทยายุทธ เขาฝึกหัดของเขาเพื่อเป้าหมายอย่างนั้น เขาไม่ใช่พระพุทธศาสนา

พระพุทธศาสนาฝึกหัดเพื่อละถอนทิฏฐิมานะ ละถอนอัตตาในตัวตนของเรา ละถอนในการเวียนว่ายตายเกิด มันไม่ใช่ตัวเบา ไอ้นั่นอภิญญาทั้งนั้น นั่นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้น

ในหนัง ในกำลังภายในเขาทำได้จริง เขาเป็นเซียน เขาเป็นอะไรนั่นน่ะ เขาฝึกหัดจนเป็นอย่างนั้น นี่แหละอภิญญา นี่แหละเรื่องของโลก เพราะเขาฝึกกับโลก มันไม่ใช่มรรคไง แต่มีคนเยอะมากบอกว่าอยากประพฤติปฏิบัติเพื่อจะมีฤทธิ์ นี่ความเห็นของเขานะ

เวลาใครคุยกับเราแล้วเราก็ขำๆ เพราะสิ่งนั้นมันสังเวชไง เราสังเวชเพราะมันไม่ใช่มรรค มันเข้าสู่มรรคไม่ได้ เข้าสู่มรรคไม่เป็น มันก็ไม่เป็นไง

ฉะนั้นบอกว่า ถ้ามันจืดชืด เราอยู่กับรสของธรรมที่มันจืด มันบริสุทธิ์ มันไม่เป็นเภทเป็นภัย มันมีแต่คุณๆๆ แล้วพอทำๆ ไปแล้ว พอมันเข้าใจแล้ว เออ!

ไม่ใช่จะเหาะเหินเดินฟ้า ในหนังนะ เขาใช้รอกเขาใช้สลิงชัก มันไม่ได้เหาะหรอก เขาใช้รอกลาก แล้วเขาถ่ายมา แล้วเขาลบไม่ให้เห็นสลิง โอ๋ย! เราสุดยอดๆ เขาหลอกทั้งนั้นน่ะ ชอบของหลอกๆ

แต่เวลามันจืดสนิท ไม่เป็นโทษ เป็นคุณ เรามันรสจืด มันเป็นคุณงามความดีนะ เราค่อยๆ ฝึกหัดไป แล้วจะเห็นคุณค่าของมันขึ้นมา

“๒. ถ้าโยมไม่อดนอนผ่อนอาหาร และภาวนาตามแบบพ่อแม่ครูอาจารย์พาทำ แต่ทำตามแนวทางของตัวเอง เช่น อาจจะเดินจงกรมมากน้อยสลับกันไป”

อย่างนี้ถูกต้อง คำว่า ถูกต้อง” คือจริตนิสัย

เราเห็นนะ คนไทยไปยุโรปเมื่อก่อนต้องเอาน้ำพริกไปด้วยๆ เขากินอร๊อยอร่อย เอ็งไม่อร่อยกับเขาหรือ ยุโรปเขากินกันทั้งปีทั้งชาติ ขนมปังน่ะ เอ็งไปยุโรปทำไมต้องเอาน้ำพริกไปด้วยล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน เรา ๒ ชั่วโมงเท่ากัน ๓ ชั่วโมงเท่ากัน มันก็เหมือนฝรั่งกินขนมปัง เราจะกินน้ำพริก เราก็เอาแต่ความพอดีของตน แต่ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ให้เป็นความถูกต้องดีงาม อย่าไปใส่ไคล้ อย่าไปชักนำ อย่าไปโน้มนำให้มันเป็นอย่างนั้นๆ คือคาดหมายไง

อย่าคาด อย่าหมาย ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สมควรแก่สติ สมควรแก่สมาธิ สมควรแก่ปัญญา มันสมควรสมบูรณ์ในตัวมันเอง ถ้าในตัวมันเอง แล้วพอสมบูรณ์ในตัวมันเอง เราจะรู้จักรสของมันไง นี่ไม่ใช่รสจืด มันมีรสชาตินะ รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง เราปฏิบัติของเราไป

ว่าจะไม่อดนอน ไม่ผ่อนอาหาร ไม่ทำตามเขาได้ไหม

ได้ จะทำอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าทำไปแล้วเวลามันอั้นตู้ เวลาทำไปแล้วมันไม่ประสบความสำเร็จ นี่ไง เราก็จะเริ่มผ่อนอาหารแล้ว เพราะการผ่อนอาหาร ทานอาหารให้น้อยลง เขาเรียกว่าธาตุขันธ์ทับจิต ร่างกายสมบูรณ์ ร่างกายแข็งแรงเกินไป นั่งสมาธิมันต่อต้านนะ

ถ้าร่างกายเราอดอาหารมามาก การอดอาหารนะ เวลาอดอาหารไป ๕ วัน ๑๐ วันแล้ว เหมือนคนเจ็บไข้ได้ป่วย คนหายจากไข้หายจากป่วยมันตัวเบาๆ นี่เหมือนกัน ถ้าไม่มีสารอาหาร ไม่มีไขมันกดทับนะ หัวใจมันจะปลอดโปร่งมากกว่า

เราจะบอกว่า เก็บสิ่งนี้ไว้ใช้ในกรณีจำเป็นไง ในกรณีจำเป็นในการปฏิบัติไปข้างหน้ามันจะเกิดความจำเป็นนะ

เวลาการปฏิบัติโดยสม่ำเสมอ เสมอต้นเสมอปลายเป็นเรื่องหนึ่ง การปฏิบัติไปแล้วจิตมันเสื่อม การปฏิบัติไปแล้วเกิดอาการสะดุด เกิดต่างๆ การอดนอนผ่อนอาหารมันจะเป็นอาวุธ มันจะเป็นวิธีการที่เราจะไปใช้ประโยชน์ตอนนั้นไง เราจะใช้ประโยชน์ได้นะ

อดนอนผ่อนอาหารมันเป็นอาวุธเลยแหละ เป็นอาวุธที่จะต่อสู้กับกิเลสได้อีกแขนงหนึ่งเลยแหละ

แล้วบอกว่าจะไม่ทำได้ไหม

จะบอกว่าได้ เราเสียดายไง เสียดายว่า เราควรจะมีอาวุธเก็บไว้ เวลาใช้ถ้ามันเป็นประโยชน์คราวใดเราก็ค่อยใช้คราวนั้น ถ้าปฏิบัติไปแล้วมันอั้นตู้ ปฏิบัติไปแล้วมันมีแต่ความทุกข์ความยาก อดเลย

อดปั๊บ ความทุกข์ความยากกับอดอาหาร อดอาหารแล้วมันหิวมันกระหายนะ เดี๋ยวความทุกข์ความยากบอกว่า เฮ้ย! กูกลัวมึงแล้ว กูไปก่อน อดอาหารมันก็แก้ได้ เห็นไหม

เราจะบอกว่าจะไม่ทำเลยได้ไหม

ได้ แต่เราไม่ทิ้งไม่ขว้าง ไม่บอกว่าเราจะไม่เหลียวไปมองเลย

จะเหลียวไปมองต่อเมื่อเราทุกข์ยากแล้วไม่มีทางออก นี่เป็นทางออก แล้วถ้าคนยังไม่ภาวนายังไม่เข้าใจมันหรอก

แต่ถ้าคนภาวนาไปแล้ว พอตอนจะใช้มันเป็นอาวุธนะ แล้วได้ประโยชน์นะ จะบอกว่า โอ้โฮ! ถ้าทิ้งไปน่าเสียดายมากเลย ถ้าตอนนั้นนะ

แต่ถ้าตอนนี้มันไม่จำเป็นไม่ต้องไปอด ภาวนาไปอย่างนี้ แต่ถ้าภาวนาไม่ลง ภาวนาแล้วมันดื้อ ภาวนาแล้วจิตโลดแล่น มันไม่เชื่อฟังเลย ลองกัน ถ้ามึงไม่เชื่อฟังกู กูจะไม่ให้มึงกิน อดเลย แล้วมันจะดิ้นให้มันดิ้นไป

ดิ้น ยังไม่กิน วันไหนพอมันเต็มที่แล้วนะ ยอมแล้วแหละ ไม่ไปก็ได้ ไม่ไป ให้กินคำเดียว ถ้าบอกว่ายอมแล้ว ถ้ามันสงบ ให้สองคำ เราต่อรองได้เลยแหละ แต่ถ้าตอนที่เราชนะนะ

เราจะบอกว่า นี้คืออาวุธชนิดหนึ่งที่ไว้ปราบกิเลสได้

แต่ถ้าคำถามว่า ถ้าไม่ต้องทำได้ไหม

ได้ ได้แน่นอน ได้แน่นอน ไม่มีใครบังคับหรอก แต่การภาวนาไป คนเราทำหน้าที่การงานไปมันจะเกิดอุปสรรคบ้าง ประสบความสำเร็จบ้าง แล้วมันมีเหตุการณ์เฉพาะหน้า ตอนนั้นเราค่อยใช้ประโยชน์กับมันเนาะ จบ

ถาม : เรื่อง “อยากได้หนังสือประวัติครูบาอาจารย์ค่ะ”

อยากได้หนังสือประวัติพ่อแม่ครูบาอาจารย์แบบเล่มค่ะ ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างใด

ตอบ : ติดต่อไปที่มูลนิธิ ถ้าติดต่อมูลนิธิ มีคนขอมาเยอะมากนะ แต่มีคนขอมา เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ให้ธรรมเป็นทานชนะซึ่งการให้ทั้งปวง”

การให้ธรรมเป็นทานๆ เขาให้เป็นธรรมอยู่แล้ว แล้วถ้าเป็นธรรมนี่แจกๆๆ แต่เวลาถ้าให้เป็นกิเลส ไม่ให้ๆๆ คนขอเป็นเรื่องกิเลสนะ มีขอมา พระขอมา ๑๐๐ เล่ม ๒๐๐ เล่ม แล้วเราให้เจ้าหน้าที่เขาไปสอบประวัติดู เขาบอกว่าจะไปแจกที่นั่น มีงานไอ้นี่...ไม่มี

มันไม่สุจริตเยอะแยะไปหมด ถ้ามันไม่สุจริตขอมา ไม่ให้ แต่ถ้ามันเป็นสุจริตนะ เป็นธรรมนะ ขอมา แจกๆ แจกอย่างเดียว แจก แต่เขาขอมาเป็นไอ้นั่นมา มีหลายคนมาที่นี่เขาเอาถุงย่ามมาเลยจะมาใส่...ไม่ให้ เพราะเขาเอาไปแจกกัน

ให้ ให้แต่คนที่มา ๑ ชุด คือคนคนหนึ่ง ๑ ชุดอ่านไม่หวาดไม่ไหวแล้วแหละ แล้วมีคนมาขอ ๑๐ ชุด ๒๐ ชุด ไม่ให้ เขาบอกว่าเขาจะขอให้พรรคพวกเขา อะไรต่ออะไร ถ้าเป็นธรรม ให้

เราจะบอกว่า อยากได้หนังสือประวัติพ่อแม่ครูอาจารย์ ทำอย่างไรคะ

ถ้าเราอยากได้เราก็ขอไปที่มูลนิธิ แล้วเขาส่งไปให้ๆ มีส่งไปให้กันอยู่แล้ว เว้นไว้แต่บอกว่า ถ้าขอได้ ขอได้ก็ขอกันไปเพื่อเป็นการทุจริต ว่าอย่างนั้นเลย มันไม่เป็นธรรม ไม่ให้ๆ

เพราะว่า ให้ธรรมเป็นทานชนะซึ่งการให้ทั้งปวง คำว่า เป็นธรรม” ไง ธรรมมันเหนือโลก ถ้าธรรมเหนือโลก สิ่งที่เป็นธรรม เป็นธรรมเราก็ส่งเสริมกัน แต่ถ้าเอาความเป็นโลกๆ เอาความเห็นแก่ตัวมา จะเอาไปทำเพื่อประโยชน์ ความคิดแบบนั้นไร้สาระ

ความคิดนะ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนแก้ไขตน ถ้าแก้ไขตนจะแก้ไขคนอื่นได้ แก้ไขตนไม่ได้จะไปแก้ไขคนอื่นไง จะไปแจกคนนู้น จะไปแจกคนนี้ ไม่ให้ ไม่ให้หรอก มันเป็นการเสริมกิเลส เสริมทิฏฐิมานะ เสริมอีโก้คน ไม่เอา

ให้ธรรมเป็นทาน

“การจะขอประวัติครูบาอาจารย์ทำอย่างไรคะ”

ก็ขอมา ส่งที่อยู่มา เขาก็ส่งกลับแล้ว เว้นไว้แต่ที่ว่าจะเอาจำนวน จำนวนก็ให้เท่าที่จำเป็น แล้วสิ่งที่ว่า โอ๋ย! คนขาดเยอะแยะเลย คนนั้นไม่ได้

มูลนิธิเขามีเจ้าหน้าที่แจกนะ เขาแจก โอ้โฮ! แจกจนสรรพากรมันบอกว่า ทำอะไรกันเนี่ย

แจก แจกอยู่แล้ว ทีนี้คนแบบว่ามันเป็นอยู่ในสังคมไง สังคมที่ไม่เคยเห็นอย่างนี้ เพราะเจ้าหน้าที่เล่าให้ฟัง สองวันนี้เอาไปแจกที่วัดสระปทุมมั้ง พอขนหนังสือลงไป

โอ้โฮ! นี่ให้เช่าเล่มเท่าไร

บอกว่าแจกฟรี

เขาตกใจ แจกฟรีอย่างนี้มีด้วยหรือ แจกฟรี

แจกฟรีเพราะหลวงตาท่านสอน พระไม่มีน้ำใจให้กันไม่ได้แล้วใครจะให้

ให้ธรรม เวลาบอกเลยนะ ให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง แล้วให้โยมเป็นคนให้ พระเป็นคนรับไว้ แล้วพระไม่ได้แจกออกไปเลย

นี่ไง หลวงตาท่านสอนไว้ พระถ้าเป็นผู้นำ สอนให้เขาแจก เราแจกอยู่แล้ว แล้วแจกมาเนิ่นนานกาเล แจกทั้งใต้ดินบนดิน แจกมาโดยที่ไม่มีใครรู้หรอก แล้วไม่ต้องให้ใครรู้ด้วย

แต่เวลาคนที่มีจิตใจคิดทางโลกๆ คิดว่าจะแจก คำว่า แจก” มันเป็นความดี แล้วแจกโดยทุจริต แจกโดยไปให้คนเขาย่ำยี

หลวงตาท่านพูดใหม่ๆ นะ ตอนที่ท่านบอกท่านไม่ให้ถ่ายรูปท่านเลย ท่านบอกว่าท่านมาในกรุงเทพฯ เห็นรูปครูบาอาจารย์วางอยู่บนฟุตพาท แล้วคนก็เดินย่ำไปย่ำมา ท่านเห็นแล้วท่านสังเวชมาก ท่านไม่เคยให้ใครถ่ายรูปเลยสมัยที่ท่านปฏิบัติใหม่ๆ

นี่ก็เหมือนกัน คำว่า แจกๆ” แจกโดยที่ว่าไปอยู่บนฟุตพาทแล้วให้คนข้ามไปข้ามมา แจกอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่

แจกแต่คนที่อยากได้ คนที่ปรารถนา คนที่หาทางออก แจก แต่แจกไปคนที่หลับใหล คนสลบอยู่ ไม่สนใจ แจกแล้วเขาก็ไปกองทิ้งไว้เฉยๆ ไม่แจก

แจกเพื่อเป็นประโยชน์ไง

เพราะเขาถามมาว่า อยากได้หนังสือทำอย่างใด

ก็โดยปกติโดยธรรมชาตินี่ ติดต่อก็จบ เหมือนกัน ไม่มีมายา ไม่มีนอกไม่มีใน ไม่มีมารยาสาไถย ไม่มีเลศนัย ถ้าบริสุทธิ์ แจก แต่ถ้ามีเลศนัยนะ ขออย่างไรก็ไม่ให้ ไม่ให้ ไม่เสริมกิเลส ถ้าขอโดยความเป็นธรรม ให้ทั้งหมด เอวัง